| 
 
 
                    
                      | 
                           พระตำหนักปางตอง  : โครงการพระราชดำริปางตอง  4 อ.เมือง  จ.แม่ฮ่องสอน |  
 นับตั้งแต่อดีตยาวนานมาจวบจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน.....พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยได้ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วตามแรงหนุนเนืองจากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น  ผนวกเข้ากับแรงผลักดันทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมที่มุ่งเน้นการค้าขาย  ทำให้การแผ้วถางตัดโค่นทำลายป่าเพื่อนำไม้ไปจำหน่าย.....ใช้ที่ดินปลูกพืชไร่.....หรือ  สร้างสถานตากอากาศ กลายเป็นพฤติกรรมซ้ำซากซึ่งยากจะแก้ไขให้หมดสิ้นไปได้ และสืบเนื่องด้วยสาเหตุที่ผืนป่าต้นน้ำถูกทำลายลงไปอย่างไม่บันยะบันยังนี่เอง  ความแห้งแล้ง.....สภาวะที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล.....เหตุน้ำท่วมเฉียบพลันในยามที่น้ำป่าไหลหลาก.....รวมไปถึงการพังทลายของหน้าดิน.....จึงกลายเป็นผลลัพธ์ที่ลูกหลานไทยจำต้องก้มหน้ายอมรับไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
 
 
 
 
                        
                          |  |  
                          | 
                            .........................ศาลมหาราช และ ต้นกุหลาบ......................... 
 |  
 
                    
                      |  |  
                      | 
                        พระตำหนักปางตอง : โครงการพระราชดำริปางตอง 4 คือชื่อของสถานที่แห่งนี้ 
 |  
 
 พระตำหนักปางตอง : จากเขตพระราชฐานสู่พื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
 
 “จังหวัดแม่ฮ่องสอน”  ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ซึ่งเคยมีปัญหาการบุกรุกทำลายป่า.....ทำไร่เลื่อนลอย.....ปลูกฝิ่นกันอย่างกว้างขวาง  แต่ภายหลังจากที่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช”  และ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ” ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมเยียนราษฎร  ณ เมืองสามหมอกแห่งนี้แล้วได้ทรงทราบถึงปัญหาดังกล่าว  พระองค์ก็ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ก่อตั้ง “โครงการพัฒนาพื้นที่ตามแนวพระราชดำริปางตอง”  ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2522 (ปัจจุบันนิยมเรียกกันสั้นๆ  ว่า “โครงการพระราชดำริปางตอง” ครับ)  โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้โครงการแห่งนี้เป็นศูนย์อนุรักษ์และพัฒนาการใช้ทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน  รวมถึงใช้เป็นศูนย์ศึกษาการทำเกษตรบนที่สูง  เพื่อที่จะช่วยให้ชาวไทยภูเขาและเกษตรกรในท้องถิ่นลด.....ละ.....เลิกพฤติกรรมการตัดไม้ทำลายป่า.....ทำไร่เลื่อนลอย.....ปลูกฝิ่น  แล้วหันมาดำรงชีวิตด้วยการปลูกพืชเศรษฐกิจเมืองหนาว  และรู้จักรักษาผืนป่าต้นน้ำให้เป็นแหล่งทำมาหากินอันอุดมสมบูรณ์ของตนเองตาม “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”  ต่อไป
 
 
 
 
                        
                          |  |  
                          | 
                            .........................โรงเรือนจากพระมหากรุณาธิคุณ.........................
 |  
 
                    
                      |  |  
                      | 
                        ........................................เขตพระราชฐานบนขุนเขา........................................
 
 |  
 สืบเนื่องด้วยสาเหตุดังกล่าวข้างต้นนี้เอง  “พระตำหนักปางตอง”  จึงถูกก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ทรงงาน –  ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถในยามที่ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมเยียนราษฎรและติดตามความคืบหน้าของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ  ในเขตพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน
 
 “พระตำหนักปางตอง” เป็นหมู่เรือนประทับแรมไม้ 6 หลังสร้างอยู่ติดแนวไหล่เขา  รอบตัวอาคารพระตำหนักปลูกแมกไม้น้อยใหญ่จนดูร่มรื่น ห่างจากตัวพระตำหนักปางตองออกไปเล็กน้อยมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงใช้ในการเสด็จพระราชดำเนินไป  –  มายังสถานที่ต่างๆ ลักษณะโดยทั่วไปของพื้นที่รอบเขตพระตำหนักปางตองเป็นภูเขาชันสลับกับที่ราบเชิงเขา  มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 800 – 1,000 เมตร  ส่งผลให้บริเวณพระตำหนักแห่งนี้มีสภาพอากาศที่หนาวเย็นอยู่เกือบตลอดทั้งปี
 
 
 
 
                        
                          |  |  
                          | 
                            ...............แกะน้อย.....ในศูนย์อนุรักษ์และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าปางตอง............... 
 |  
 
                    
                      |  |  
                      | 
                        ...............เล็มหญ้า.........................กับ.........................ดาราหน้ากล้อง...............
 |  
 
      .....ต่อมาในภายหลัง.....การดำเนินงานของโครงการพัฒนาพื้นที่ตามแนวพระราชดำริปางตองประสบผลสัมฤทธิ์เป็นอย่างดี  จึงได้มีการขยายขอบเขตพื้นที่โครงการฯ จาก “โครงการพระราชดำริปางตอง  1(ห้วยมะเขือส้ม)”  มาสู่ “โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)” แล้วต่อมายัง “โครงการพระราชดำริปางตอง  3 (แม่สะงา – หมอกจำแป่)” และในที่สุดพื้นที่ของพระตำหนักปางตองรวมถึงบริเวณโดยรอบก็ได้รับการพัฒนาให้กลายไปเป็น  “โครงการพระราชดำริปางตอง 4 (พระตำหนักปางตอง)” เมื่อปี พ.ศ. 2537ปัจจุบัน.....ภายใน “พระตำหนักปางตอง : โครงการพระราชดำริปางตอง 4” มีทั้งพื้นที่ของเรือนอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้เอื้องแซะ  , ศูนย์อนุรักษ์และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าปางตอง , ฐานเรียนรู้การทำเกษตรที่สูงตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  , ฐานเรียนรู้การสร้างป่าเปียกเพื่อใช้เป็นแนวป้องกันไฟป่า ,  ฯลฯ.....ซึ่งความหลากหลายของศูนย์อนุรักษ์และฐานการเรียนรู้ต่างๆ เหล่านี้อาจทำให้นักท่องเที่ยวบางคนที่ยังไม่เคยเดินทางมายังพระตำหนักปางตองรู้สึกสับสนงุนงงไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสำรวจพระตำหนักแห่งนี้จากตรงจุดไหนดี  ? หากคุณเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งอาจจะมีอาการดังว่านี้ก็ลองตามทีมงานท่องเที่ยวดอทคอม  (www.thongteaw.com) มาสำรวจสถานที่น่าสนใจต่างๆ รอบๆ  บริเวณพระตำหนักปางตองกันดีกว่าครับ
 พระตำหนักปางตองในปัจจุบัน
 
 
 
 
                        
                          |  |  
                          | 
                            ...................................น่ารักอ่ะ !!...................................
 
 
 |  
 
       1. ศาลมหาราช เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำพระตำหนักปางตองจะแนะนำให้นักท่องเที่ยวทุกคนแวะสักการะศาลแห่งนี้ก่อนที่จะเดินทางเข้าไปเยี่ยมชมส่วนอื่นๆ  ภายในบริเวณพระตำหนักฯ
 2. ฐานเรียนรู้การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานแนวพระราชดำริในเรื่อง “การปลูกป่า  3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง”  ไว้ให้แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องด้วยพระองค์ทรงทราบดีว่า  หากต้องการจะให้มีคนช่วยกันปลูกต้นไม้และอนุรักษ์ผืนป่าแล้วล่ะก็ จำเป็นต้องทำให้คนสามารถใช้ประโยชน์จากต้นไม้ที่พวกเขาปลูกและสามารถดำรงชีพด้วยผืนป่าที่พวกเขาช่วยกันรักษาได้  “การปลูกป่า 3 อย่าง  ประโยชน์ 4 อย่าง”  จึงหมายถึงการปลูกป่าโดยจัดให้มีเรือนยอด 3 ชั้น  ได้แก่
 
 - ไม้เรือนยอดชั้นบน.....ปลูกเพื่อประโยชน์.....พออยู่ : เป็นการปลูกป่าเพื่อใช้เนื้อไม้ทำที่อยู่อาศัย  ต้นไม้ที่แนะนำให้ปลูกเป็นเรือนยอดชั้นบน ได้แก่ สัก , ตะเคียนทอง , ยางนา , สะเดา  , จำปาทอง , ฯลฯ .....ทั้งนี้.....อาจเลือกปลูกต้นไม้ที่มีลำต้นสูงและออกผลใช้เป็นอาหารด้วยก็ได้  เช่น สะตอ , เหรียง , กะท้อน , มะพร้าว , เป็นต้น
 
 
 
                        
                          |  |  
                          | 
                            ...............นกยูง....................สูงสง่า...............
 
 |  
 
                    
                      |  |  
                      | 
                        .........................ฝูงเป็ด และ ละอง/ละมั่ง......................... 
 |  
 - ไม้เรือนยอดชั้นกลาง.....ปลูกเพื่อประโยชน์.....พอกิน : เป็นการปลูกป่าเพื่อนำผลไม้มาเป็นอาหาร –  จำหน่าย ต้นไม้ที่แนะนำให้ปลูกเป็นเรือนยอดชั้นกลาง ได้แก่ มะม่วง  , ขนุน , ชมพู่ , มังคุด , ทุเรียน , ลองกอง ,  ฯลฯ.....ทั้งนี้.....อาจเลือกปลูกต้นไม้ที่มีความสูงของลำต้นในระดับกลางเพื่อใช้ประโยชน์อื่นๆ  ด้วยก็ได้ เช่น ปาล์ม , ไผ่ เป็นต้น
 
 - ไม้ปกคลุมหน้าดิน.....ปลูกเพื่อประโยชน์.....พอใช้ : เป็นการปลูกพืชปกคลุมหน้าดินเพื่อนำเอาส่วนต่างๆ  ของพืชเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะใช้เป็นพืชสมุนไพร ใช้เป็นพืชพลังงานทดแทน ใช้ประกอบอาหาร  หรือใช้เพื่อประโยชน์อื่นๆ.....ต้นไม้ที่แนะนำให้ปลูกคลุมหน้าดิน ได้แก่ หวาย ,  สบู่ดำ , ชะพลู , มะนาว , กาแฟ , ผักป่าชนิดต่างๆ , ฯลฯ.....ทั้งนี้.....อาจเลือกปลูกพืชที่ใช้ประโยชน์จากส่วนที่อยู่ใต้ดิน (พืชหัว) ควบคู่ไปด้วยก็ได้ เช่น กลอย , ขิง ,  ข่า , กระชาย เป็นต้น
 
 สำหรับประโยชน์อย่างที่ 4 นั้นเป็นประโยชน์ที่ได้รับจากการปลูกป่าโดยจัดให้มีเรือนยอด  3 ชั้นร่วมกัน  คือ เป็นการสร้างความหลากหลายทางชีวภาพให้แก่ผืนป่า ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์  และฟื้นคืนความสมดุลให้แก่ระบบนิเวศน์..........นักท่องเที่ยวสามารถเดินจากศาลมหาราชมายังฐานการเรียนรู้แห่งนี้ได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน  5 – 10 นาที (ฐานเรียนรู้การสร้างป่าเปียกเพื่อใช้เป็นแนวป้องกันไฟป่าก็ตั้งอยู่ติดกับฐานเรียนรู้การปลูกป่า  3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างแห่งนี้ด้วยครับ)
 
 
 
                        
                          |  |  
                          | 
                            .........................ฝูงม้า กับ เสือไฟ......................... 
 |  
 
                    
                      |  |  
                      | 
                        ..........กรงสัตว์ป่าอนุรักษ์ในเขตพื้นที่ พระตำหนักปางตอง..........
 
 |  
 
 3. เรือนเพาะชำและอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้ เป็นโรงเรือนที่จัดสร้างขึ้นตามพระราชเสาวนีย์ของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ”  เพื่อใช้เป็นศูนย์เพาะชำและอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้เอื้องแซะซึ่งเป็นกล้วยไม้ประจำถิ่น  นอกจากนั้นยังมีการปลูกเพาะชำกล้วยไม้สายพันธุ์อื่นๆ  เพื่อปล่อยคืนสู่พื้นที่ป่าในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วย.....นักท่องเที่ยวซึ่งชื่นชอบการเลี้ยงกล้วยไม้สามารถแวะเข้าเยี่ยมชมโรงเรือนแห่งนี้ได้ทุกวัน
 
 4. ศูนย์อนุรักษ์และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าปางตอง เป็นสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าที่ก่อสร้างและเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี  พ.ศ. 2526 [ก่อสร้างและเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ก่อนที่โครงการพระราชดำริปางตอง  4 (พระตำหนักปางตอง) จะเริ่มต้นเสียอีกนะครับ]  เพื่อสนองแนวพระราชดำริของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” ที่ทรงต้องการจะอนุรักษ์สัตว์ป่าในพื้นที่แถบนี้ไว้ให้เยาวชนรุ่นหลังได้มีโอกาสเรียนรู้ศึกษา.....ค้นคว้า.....วิจัยวิชาการทางด้านสัตว์ป่า  อีกทั้งยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ป่าหายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์ให้มีปริมาณเพิ่มขึ้นแล้วปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติด้วย  ตัวอย่างสัตว์ป่าหายากที่สามารถพบเห็นได้ในสถานีฯ เช่น เสือไฟ , เสือลายเมฆ ,  แมวดาว , เก้ง , ละอง , ละมั่ง , นกยูง , นกแว่น , ไก่ฟ้าหลังเงิน เป็นต้น.....และนอกเหนือไปจากสัตว์ป่าหายากดังกล่าวข้างต้นแล้ว  สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าปางตองก็ยังมีการเพาะขยายพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจชนิดอื่นๆ  อีกไม่ว่าจะเป็น เป็ด , ม้า , แกะ , ฯลฯ.....นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชมความแปลก  –  น่ารักของสัตว์เหล่านี้ พร้อมทั้งแวะให้อาหารแกะได้อย่างสนุกสนาน
 
 
 
 
 
                    
                      |  |  
                      | 
                        แปลงปลูกสตรอเบอรี่ของ โครงการพระราชดำริปางตอง 4
 
 
 |  
 
                    
                      |  |  
                      | 
                        ...................................ดอกไม้ในสวน...................................
 |  
 5. ฐานเรียนรู้การทำเกษตรที่สูงตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นฐานการเรียนรู้ที่ตั้งกระจายอยู่ทั่วไปในอาณาบริเวณรอบเขตพระตำหนักปางตอง  เช่น แปลงสาธิตการปลูกสตรอเบอรี่โดยไม่ใช้สารเคมี ,  การทำนาแบบขั้นบันไดโดยใช้หญ้าแฝกปลูกแซมเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและป้องกันการพังทลายของหน้าดิน  , แปลงสาธิตการปลูกผักอินทรีย์ , ฐานเรียนรู้การผลิตต้นพันธุ์พืชบนพื้นที่สูง  เป็นต้น.....ฐานการเรียนรู้ต่างๆ เหล่านี้จะมีแผ่นป้ายข้อมูลทางวิชาการปัก – ติดเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวอ่านได้อย่างสะดวก (แต่บางฐานก็อาจหาป้ายข้อมูลไม่เจอได้ครับ)
 
 
 
                        
                          |  |  
                          | 
                            โครงการพระราชดำริปางตอง 4 : พระตำหนักปางตอง
 คือ ห้องเรียนสำหรับผู้ที่ต้องการจะศึกษาหาความรู้เพื่ออยู่อย่างพอเพียง
 
 |  
 6. อาคารพระตำหนักปางตอง  เป็นหมู่เรือนประทับแรมไม้ 6 หลังสร้างอยู่ติดแนวไหล่เขา  ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมภายในตัวอาคาร แต่สามารถเดิมชมสวนดอกไม้  หรือถ่ายภาพรอบๆ ตัวอาคารพระตำหนักได้.....บางคนก็เรียกตัวอาคารพระตำหนักทั้ง 6  หลังนี้ว่า “เรือนประทับแรมปางตอง”นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาขับรถและเดินเที่ยวชมสถานที่น่าสนใจรอบๆ  บริเวณพระตำหนักปางตองเหล่านี้ได้อย่างถ้วนทั่วภายใน 1 วัน แต่ถ้าหากมีเวลาน้อยล่ะก็แนะนำให้แวะป้อนอาหารแกะและเยี่ยมชมสัตว์ป่าหายากที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าปางตองก็น่าจะเพียงพอ
 
 
 
 
                    
                      |  |  
                      | 
                        .....คนๆ หนึ่งที่คอยช่วยดูแลแปลงเกษตรจนมีดอกไม้สวยๆ แบบนี้ให้พวกเราได้ชม..... 
 |  
 
                    
                      |  |  
                      | 
                        ............เรือนเพาะชำและอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้เอื้องแซะตามพระราชเสาวนีย์............
 |  
 
      การเดินทางสู่พระตำหนักปางตอง :
 รถยนต์ส่วนบุคคล จากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนให้ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข  1095 มุ่งหน้าไปทาง อ.ปางมะผ้า ก่อนถึง “ถ้ำปลา”  เล็กน้อยจะพบทางแยกซ้ายมือไป “บ้านหมอกจำแป่”  ให้เลี้ยวซ้ายบริเวณแยกดังกล่าวแล้วขับรถตรงไปเรื่อยๆ จนพบกับสามแยก  จากนั้นให้เลี้ยวขวามุ่งตรงไปเรื่อยๆ ผ่านน้ำตกผาเสื่อไปประมาณ 4 กม.จะพบกับทางแยกเข้าพระตำหนักปางตอง  ให้เลี้ยวซ้ายไปตามแยกดังกล่าวแล้วขับรถตรงต่อไปอีกประมาณ 1 กม.กว่าๆ  ก็จะถึงทางเข้าพระตำหนักฯ
 
 รถประจำทาง มีรถประจำทางจาก  “ตลาดสายหยุด”  ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนไปยังปางอุ๋ง – บ้านรักไทยทุกวัน  นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถดังกล่าวไปลงบริเวณทางแยกเข้าพระตำหนักปางตอง แล้วจึงเดินเท้าต่อเข้าไปยังตัวพระตำหนักฯ  อีกประมาณ 1 กม.กว่าๆ (หากไม่มีรถส่วนตัว.....แนะนำให้เหมารถเที่ยวจะดีกว่า  เพราะพื้นที่ภายในบริเวณพระตำหนักปางตองกว้างขวางมากๆ ครับ)
      ฤดูกาลท่องเที่ยวที่เหมาะสม :  สามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ช่วงฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่พระตำหนักปางตองมีความสวยงามมากที่สุด  (กรณีเดินทางมายังพระตำหนักปางตองในช่วงฤดูฝนจะต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะมากกว่าปกติ  เนื่องจากเส้นทางบางช่วงคดเคี้ยวและสูงชัน)
 ขอขอบคุณ : ข้อมูลอ้างอิงบางส่วนจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์  16
 
 หมายเหตุ : ข้อมูลบางอย่างของ “พระตำหนักปางตอง”  อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ในปัจจุบัน
      ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง : ที่พัก/โรงแรม/รีสอร์ท  ในย่านตัวเมืองแม่ฮ่องสอน 
 
 
                    
                      | สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน(กรุณาคลิ๊ก “ ชื่อสถานที่ท่องเที่ยว”  เพื่อชมภาพถ่ายและข้อมูลของสถานที่แต่ละแห่งโดยละเอียด)
 
 |  
                      | อ.เมือง  | พระธาตุดอยกองมู , วัดจองคำ - วัดจองกลาง ,  วัดหัวเวียง , ถ้ำปลา , น้ำตกผาเสื่อ , บ่อน้ำร้อนผาบ่อง , ถนนคนเดินแม่ฮ่องสอน ,
 บ้านห้วยเสือเฒ่า , หมู่บ้านจีนยูนนาน - บ้านรักไทย , ภูโคลน - คันทรีคลับ ,
 โครงการพระราชดำริปางตอง-2-ปางอุ๋ง ,
 |  
                      | อ.ปาย | วัดน้ำฮู , กองแลน , บ้านสันติชล , สะพานประวัติศาสตร์ปาย , ถนนคนเดินปาย , น้ำตกหมอแปง , โป่งน้ำร้อนท่าปาย
 |  
                      | อ.ขุนยวม  | ทุ่งดอกบัวตอง-ดอยแม่อูคอ , ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ , น้ำตกแม่สุรินทร์
 |  
                      | อ.ปางมะผ้า  | ถ้ำลอด |  
                      | อ.แม่ลาน้อย  | ถ้ำแก้วโกมล |  
 
 
 
 |