| ไวน์ (Wine)
 
 
 เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcoholic  Beverage) สามารถก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้หลายประการ  ไม่ว่าจะเป็น อาการเพ้อ , ความจำเสื่อม , กล้ามเนื้อฝ่อ , กระดูกเปราะ , เป็นหมัน  , ความดันโลหิตสูง , เลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมอง , โรคหลอดเลือดหัวใจ , ตับอักเสบ  , ตับแข็ง ฯลฯ นอกจากนี้ยังสร้างความสูญเสียและปัญหาทางสังคมตามมาอีกเป็นจำนวนมาก  เช่น อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ – รถยนต์ , การทะเลาะวิวาท ,  ความร้าวฉานในครอบครัว เป็นต้น ถึงขั้นที่ “สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ  : สสส.” ต้องดันโฆษณาชุด “ ให้เหล้า = แช่ง”  ออกมาประชาสัมพันธ์กันยกใหญ่ แต่บรรดาคอทองแดงขาประจำดูเหมือนจะมองว่าโฆษณาชุดนี้เป็นเพียงแค่เรื่องตลกขบขัน  แล้วก็ยังคงเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความมัวเมาเคล้าเสียงสะอื้นไห้ของคนรอบข้างเหมือนเดิมต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
 
      แม้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีพิษมีภัยมากมายหลายประการดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น  แต่ปัจจุบันก็ได้มีงานวิจัยและบทความทางการแพทย์ต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวแย้งในมุมกลับว่า  การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณระดับปานกลาง (moderate  consumption)  อาจจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางชนิดลงได้.....โดยเฉพาะการดื่ม “ไวน์ (Wine)”.....      จะจริงหรือเท็จอย่างไร  ? เดี๋ยวเราไปดูกัน แต่ก่อนหน้านั้นลองมาอ่านข้อมูลพื้นฐานของไวน์ประกอบความเข้าใจเบื้องต้นก่อนดีกว่า
 “ไวน์ (wine)” เป็นเครื่องดื่มที่ได้มาจากกระบวนการหมักบ่มผลไม้  ข้าว หรือพืชพันธุ์อื่นๆ กับเชื้อยีสต์ มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณร้อยละ  9 – 15 จากน้ำหนักทั้งหมด (น้ำหนักที่เหลือส่วนใหญ่เป็นน้ำ)  ในต่างประเทศหากใช้คำว่า “ไวน์ (wine)” เฉยๆ จะหมายถึง “เหล้าองุ่น” ส่วนในกรณีที่ต้องการจะกล่าวถึงไวน์ซึ่งได้มาจากกระบวนการหมักบ่มผลไม้  ข้าว หรือพืชพันธุ์ชนิดอื่นๆ จำเป็นต้องใส่ชื่อของวัตถุดิบนั้นๆ นำหน้าคำว่า “ไวน์ (wine)” เสมอ (เช่น apple wine , blackberry wine , barley wine , ginger wine เป็นต้น)
 
 เราอาจแบ่งแยกประเภทของไวน์ออกเป็น  2 ชนิดหลักๆ ได้แก่ “ไวน์ขาว (white wine)” และ “ไวน์แดง (red wine)” โดยไวน์ขาวจะได้มาจากกระบวนการหมักบ่มองุ่นขาวหรือองุ่นแดงที่ลอกเปลือกออกแล้ว  ส่วนไวน์แดงนั้นจะได้มาจากกระบวนการหมักบ่มองุ่นที่มีเปลือกสีคล้ำเข้ม
 
      การศึกษาวิจัยหลายชิ้นในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าผู้ซึ่งดื่มไวน์ในปริมาณระดับปานกลางจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางกลุ่มลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม  (แพทย์บางท่านให้คำจำกัดความของ “การดื่มไวน์ในปริมาณระดับปานกลาง” ว่า ผู้หญิงที่มีสภาวะสุขภาพเป็นปกติควรดื่มไวน์ในปริมาณไม่เกิน 150 มิลลิลิตร/วัน และผู้ชายที่มีสภาวะสุขภาพเป็นปกติควรดื่มไวน์ในปริมาณไม่เกิน  300 มิลลิลิตร/วัน  ทั้งนี้ปริมาณของการดื่มไวน์ระดับปานกลางยังสามารถผันแปรไปได้ตามอายุ , เพศ ,  พันธุกรรม , น้ำหนักตัว , โครงสร้างร่างกาย , อาหารซึ่งรับประทานร่วม ,  โรคประจำตัว , ฯลฯ) ในทางตรงกันข้าม ผู้ซึ่งดื่มไวน์ปริมาณมากเกินไปก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางอย่างเพิ่มมากขึ้น  เพราะฉะนั้นคอเมาขามึนทั้งหลายอย่ารีบดีใจด้วยคิดว่าจะดื่มไวน์เท่าไหร่ก็ได้ทีเดียวเชียว 
      สำหรับผลของไวน์ที่มีต่อภาวะสุขภาพนั้น  อาจพอสรุปได้โดยย่อดังต่อไปนี้
 
 1. ระบบกระดูก ผลงานวิจัยจากโรงพยาบาล St.Thomas  แห่งกรุงลอนดอน  ประเทศอังกฤษ และผลงานวิจัยจากกลุ่มศึกษาด้านระบาดวิทยาโรคกระดูกพรุนในประเทศฝรั่งเศสพบว่า  การดื่มไวน์ในปริมาณระดับปานกลางจะช่วยลดการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้ ในทางตรงกันข้ามการดื่มแอลกอฮอล์  (หมายรวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด  ซึ่งไวน์ก็ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทหนึ่งด้วยครับ)  ปริมาณมากเกินไปจะขัดขวางกระบวนการสร้างเนื้อกระดูก  และหากดื่มต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานก็จะเกิดโรคกระดูกพรุนในท้ายที่สุด ทั้งนี้มีข้อสังเกตจากนักวิจัยชาวฝรั่งเศสว่าความสัมพันธ์ระหว่าง  “การลดลงของภาวะกระดูกพรุน” กับ “การบริโภคไวน์ในปริมาณระดับปานกลาง” อาจจะยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากผู้ซึ่งเลือกดื่มไวน์ในปริมาณระดับปานกลางมักจะเป็นผู้ที่มีความรู้และฐานะดี  มีรูปแบบวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉง กระตือรือร้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  รวมถึงบริโภคอาหารถูกต้องตามสุขลักษณะ  ซึ่งรูปแบบวิถีชีวิตอันเหมาะสมเช่นนี้เองที่มีส่วนช่วยชะลอการเกิดภาวะกระดูกพรุนในกลุ่มศึกษาอยู่แล้ว  (การลดลงของภาวะกระดูกพรุนในกลุ่มศึกษาอาจจะไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากการดื่มไวน์แต่เพียงอย่างเดียว
 
 
 2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด สารประกอบภายในไวน์หลายชนิดมีคุณสมบัติในการต้านเกล็ดเลือด  (ยับยั้งการรวมตัวกันของเกล็ดเลือด) ทำให้เลือดแข็งตัวได้ช้าลง  นอกจากนี้ยังช่วยให้ความสมดุลระหว่าง LDL – C และ HDL – C ในร่างกายดีขึ้น (LDL – C รู้จักกันในชื่อแบบไทยๆ ว่า “ไขมันเลว”  เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักซึ่งก่อให้เกิดภาวะเส้นเลือดแดงตีบ –  อุดตัน ส่วน HDL – C รู้จักกันในชื่อแบบไทยๆ ว่า “ไขมันดี”  ช่วยในการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเส้นเลือดแดงตีบตัน) ผู้ซึ่งบริโภคไวน์ในปริมาณระดับปานกลางเป็นประจำจึงเกิดภาวะเส้นเลือดแดงตีบ  – อุดตันได้ยากขึ้น แต่ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปกลับจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ  นอกจากนี้หากดื่มแอลกอฮอล์ข้ามวันข้ามคืนยังอาจจะทำให้เกิดเส้นเลือดสมองแตกและมีเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมองจากฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดสะสมได้อีกด้วย
 
 
 3. ระบบจิตประสาท การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากส่งผลรบกวนต่อความทรงจำในระยะสั้น  (ที่ชอบเรียกกันว่า “เมาไม่รู้เรื่อง”  นั่นแหละครับ) หากดื่มต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจะยับยั้งการพัฒนาของเซลล์สมอง  เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า ขณะที่การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณระดับปานกลางจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด  “โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease)” และ “โรคสมองฝ่อ (Demantia)” ลงได้ (บทบาทของไวน์ต่อการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองฝ่อยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างจริงจังชัดเจน  มีแต่การศึกษาวิจัยภาพรวมเรื่องผลของการดื่มแอลกอฮอล์ต่อการป้องกัน/ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองฝ่อเท่านั้น)  แต่หากให้ “ผู้ป่วยซึ่งมีภาวะความรับรู้ผิดปกติ (Cognitive Impairment)”  ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณระดับปานกลางเข้าไป แทนที่จะช่วยให้ภาวะความรับรู้ซึ่งผิดปกติดีขึ้นกลับทำให้แย่ลงยิ่งกว่าเดิม
 
      4. โรคมะเร็ง เป็นที่ทราบกันดีในวงการแพทย์ว่าแอลกอฮอล์เป็นพิษซึ่งทำลายเซลล์ องค์การอนามัยโลก (World Health  Organization : WHO)  ได้จัดให้แอลกอฮอล์อยู่ใน “สารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 (Group 1 Carcinogen)”   จากการศึกษาวิจัยหลายๆ ชิ้นงานได้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณระดับปานกลางก็ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด อาทิเช่น มะเร็งเต้านม , มะเร็งลำไส้ใหญ่ , มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น  ส่วนการศึกษาวิจัยเรื่องคุณประโยชน์ของไวน์ต่อการลดอัตราเสี่ยง/ป้องกันโรคมะเร็งนั้นยังมีอยู่น้อย  บางงานวิจัยก็เสนอแนะว่าการดื่มไวน์ในปริมาณระดับปานกลางอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอด  , มะเร็งรังไข่ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ (แต่ก็ไม่ได้ให้ข้อสรุปว่าการดื่มไวน์ในปริมาณระดับปานกลางจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดอื่นๆ  ซึ่งไม่ใช่มะเร็งปอด , มะเร็งรังไข่ และมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่ ?)
 
 5. อื่นๆ นอกเหนือไปจากผลทางด้านสุขภาพต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว  ยังมีรายงานว่าการดื่มไวน์ในปริมาณระดับปานกลางยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่  2 ,  ชะลอความเสื่อมของศูนย์รวมประสาทตา และช่วยลดโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผลไม่พึงประสงค์จากการดื่มไวน์ที่พบได้อีก  เช่น อาการปวดศีรษะ , ทำให้ผู้ซึ่งมีโรคประจำตัวเป็นหอบหือและภูมิแพ้อาการกำเริบ  เป็นต้น ใครที่อยากทราบข้อมูลเรื่อง “ผลของไวน์ต่อสภาวะสุขภาพ” มากไปกว่านี้..........กรุณาสืบค้นเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆ  ได้ตามความสมัครใจ เนื่องจากผู้เขียนบทความเริ่มเมื่อยมือแล้ว..........ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตรงนี้นะครับ
 
 
      ปัจจุบันยังคงมีรายงานการศึกษาวิจัยถึง  “ผลดี – ผลเสียของการบริโภคไวน์ต่อสภาวะสุขภาพ”  ใหม่ๆ ออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งยากที่ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอม  (www.thongteaw.com)  จะยกข้อมูลทั้งหมดมาเขียนในบทความชิ้นนี้ได้ อย่างไรก็ตามหากคุณเป็นผู้ซึ่งต้องการจะดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ.....อย่าลืมศึกษาเปรียบเทียบผลดี  – ผลเสียต่างๆ ให้ละเอียดถี่ถ้วยเสียก่อน  มิฉะนั้นคุณอาจต้องเสียเงินในกระเป๋าไปเปล่าๆ เหมือนการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ”  ก็เป็นได้ แต่หากคุณเป็นเพียงแค่ผู้ที่ดื่มไวน์เพื่อความสุนทรีในอารมณ์ , เพื่อผ่อนคลาย  , เพื่อระบายความเศร้า , เพื่อเมาหัวราน้ำ , เพื่อตามเข้าสังคม ,  เพื่อดอมดมกลิ่นองุ่นหมัก หรือ เพื่อให้เพื่อนทักว่าเรารวย  ก็คงไม่ต้องสนใจประเด็นเรื่องของสุขภาพสักเท่าไหร่นัก ทั้งนี้ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมขอเตือนด้วยความปรารถนาดีจากใจจริงว่า       “การดื่มสุราผิดศีล 5 ในศาสนาพุทธ  , ผิดบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม และอาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ”      ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง : วิลเลจฟาร์ม  แอนด์ ไวน์เนอรี่ (Village Farm & Winery) , โปรแกรม “Farm Stay”  โดยวิลเลจฟาร์ม แอนด์ ไวน์เนอรี่ขอขอบคุณ : ข้อมูลอ้างอิงทางวิชาการจากวิกิพีเดีย 
 
 
 
 |