| โรคกระเพาะอาหาร
 เป็นคำที่มักใช้เรียกภาวะผิดปติที่ทำให้เกิดกรดในกระเพาะ  และมีการหลั่งน้ำย่อยของกระเพาะอาหารมากเกินไป ทำให้ปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่  อืดแน่น เกิดได้ทั้งก่อน และหลังรับประทานอาหาร โดยมากมักจะเป็นเรื้อรัง  มีระยะสงบของโรคที่ไม่แสดงอาการค่อนข้างนานดูเผิน ๆ เหมือนว่าอาการจะไม่รุนแรง  แต่หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษา หรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง  ก็จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
 สาเหตุของโรคกระเพาะอาหารมีมาก  ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจาก1.กระเพาะอาหารมีกรดมากขึ้น
 -จากความเครียด  วิตกกังวล และอารมณ์
 -จาการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ได้แก่ ชา กาแฟ และการสูบบุหรี่
 -จากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา  หรือรับประทานมาก หรือน้อยเกินไป
 
 2.เยื่อบุกระเพาะอาหารถูกทำลายเนื่องจาก
 -การใช้ยาแก้ปวดแอสไพริน  และยารักษาโรคกระดูก และข้ออักเสบ ทุกชนิด
 -การดื่มน้ำอัดลม  กินอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
 3.กรรมพันธุ์
 -พบว่าโรคนี้สามารถเกิดได้กับคนในครอบครัวเดียวกันได้บ่อย  ๆ
 4.การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์  ไพโรไล (Helicobactor pyroli)
 อาการของโรค
 
 เริ่มแรก
 ปวดท้อง  โดยมีลักษณะสำคัญคือ
 1.ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่  เหนือสะดือขึ้นไป ปวดแบบแวบ ๆ หรือ ร้อน ๆ
 2.ปวดเรื้อรังมานานเป็นสัปดาห์  เป็นเดือน หรือปี โดยมากจะเป็น ๆ หาย ๆ
 3.ปวดสัมพันธ์กับอาหาร  เช่น ปวดเวลาหิว หรือท้องว่าง ปวดเวลาอิ่ม หรือปวดกลางดึก
 อาการอื่น  เช่น จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด เฟ้อ เรอ คลื่นไส้ อาเจียน
 ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถรักษาให้หายขาดได้  แต่หากปล่อยไว้ไม่ได้ทำการรักษา ภาวะแทรกซ้อน ที่จะเกิดตามมาคือ 
        
          
            | ภาวะแทรกซ้อน | อาการแสดง |  
            | เลือดออกในกระเพาะอาหาร | อาเจียนเป็นเลือดอุจจาระสีดำ
 |  
            | กระเพาะอาหารทะลุ | ปวดท้องช่วงบนเฉียบพลันรุนแรงหน้าท้องแข็งตึง กดเจ็บมาก
 |  
            | กระเพาะอาหารอุดตัน | รับประทานอาหารได้น้อย อิ่มเร็วอาเจียนหลังอาหารเกือบทุกมื้อ
 เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก
 |  หากผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวนี้  ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน   วิธีการรักษา 1.การรักษาด้วยยา ยารักษาโรคกระเพาะอาหาร แบ่งได้เป็น1.1ยาลดกรด
 1.2ยายับยั้งการหลั่งกรด
 1.3ยาเพิ่มความต้านทานของชั้นเยื่อเมือกกระเพาะอาหาร
 1.4ยาอื่น ๆ ได้แก่
 -ยาเพิ่มการขับเคลื่อนในกระเพาะอาหาร
 -ยาลดลมในกระเพาะอาหาร
 -ยาปฏิชีวนะ
 ซึ่งการให้ยาขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย  และวินิจฉัยของแพทย์
 ยาลดกรดเนื่องจากยาลดกรด  เป็นยาที่ผู้ป่วยสามารถเลือกซื้อได้ทั่วไป ดังนั้น  มาทำความรู้จักยาลดกรดให้มากขึ้นกันดีกว่า  ยาลดกรดมักใช้เป็นยาอันดับแรกในการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ ได้แก่  โซดามินท์ หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต เกลือของอลูมิเนียม เช่น อลูมิเนียมไฮดรอกไซด์  เกลือของแมกนีเซียม เช่น แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์  หรือเป็นตัวยาผสมระหว่างเกลืออลูมิเนียม และแมกนีเซียม  นอกจากนี้ยาลดกรดหลายตำรับมีการใส่ ไซเมทิโคน ซึ่งมีฤทธิ์ไล่ก๊าซ  แต่ตัวยาเองไม่มีฤทธิ์ลดกรด และไม่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
 วิธีใช้ยาลดกรด-ชนิดเม็ดเคี้ยวยาให้ละเอียดก่อนกลืนยา
 -ชนิดน้ำต้องเขย่าขวดก่อนรินยา
 
 วิธีใช้
 -เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบท้องเนื่องจากกรด  หรืออาหารไม่ย่อย รับประทานวันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร 1 ชั่วโมง และ ก่อนนอน หรือ  รับประทานเมื่อมีอาการ
 -เพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้  รับประทานวันละ 7 ครั้ง หลังอาหาร 1 และ 3 ชั่วโมง  และก่อนนอนติดต่อกันตามแพทย์สั่ง
 ผลข้างเคียง-ท้องผูก  พบในยาลดกรดที่มีเกลือของอลูมินียมผสมอยู่มาก
 -ท้องเดิน  พบในยาลดกรดที่มีเกลือของแมกนีเซียมผสมอยู่มาก
 ดังนั้นยาลดกรดในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่  จึงนิยมใช้ยาในรูปของสูตรผสมเกลือของอลูมิเนียม และแมกนีเซียม  เพื่อลดผลเสียของกันและกัน
 ข้อควรระวังในการใช้ยาลดกรด-การใช้ยาในผู้สูงอายุ  ผู้ป่วยโรคตับ ไตหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ต้องปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร
 -เนื่องจากยาลดกรดสามารถเกิดปฏิกิริยากับยาอื่น  หรือมีผลให้ยาอื่นมีประสิทธิภาพในการรักษาลดลงจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบอกแพทย์  และเภสัชกร ทุกครั้งหากใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย
 -ควรรับประทานยาลดกรด  เพื่อการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้ ติดต่อกันตามแพทย์สั่ง  และไม่ควรหยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้น
 -หากมีอาการของภาวะแทรกซ้อน  ต้องรีบไปพบแพทย
 ์
 2.การรักษาด้วยการผ่าตัด
 จำเป็นเฉพากรณีที่เกิดโรคแทรกซ้อน  ได้แก่ เลือดในกระเพาะอาหารออกไม่หยุด กระเพาะอาหารทะลุ หรือกระเพาะอาหารมีการอุดตัน  ซึ่งขึ้นกับวินิจฉัยของแพทย์
 หลักการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร1.รับประทานอาหารให้เป็นเวลา  ไม่รับประทานมาก หรือ น้อยเกินไป
 2.งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  คาเฟอีน และงดสูบบุหรี่
 3.งดน้ำอัดลม อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
 4.หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดแอสไพริน  และยาแก้ปวดกระดูก และข้ออักเสบทุกชนิด  แต่หากจำเป็นต้องใช้ยาควรรับประทานยาดังกล่าวกลังอาหารทันที และดื่มน้ำตามมาก ๆ
 5.พักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำใจให้สบาย  และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
   ที่มา เอกสารประชาสัมพันธ์ ถามมาสิ...เราตอบได้ ขององค์การเภสัชกรรมเรื่อง "หิวไม่ปวด อิ่มไม่ปวด" ตอน...โรคกระเพาะอาหาร       |