| เกาะตะรุเตา อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา อ.เมือง จ.สตูล
 (ดูภาพด้านล่าง)
 
 เมื่อครั้งอดีต “เกาะตะรุเตา” เคยเป็นที่รู้จักกันในฐานะของ “คุกนรก” และแหล่งซ่องสุมของ “โจรสลัดตะรุเตา” ผู้ดุร้ายโหดเหี้ยม แต่ปัจจุบันเกาะแห่งนี้รวมถึงเกาะอื่นๆ  ในบริเวณใกล้เคียงได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ  ความอุดมสมบูรณ์และความงดงามของสภาพธรรมชาติต่างๆ โดยรอบเขตพื้นที่ “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา อ.เมือง จ.สตูล” นั้นถึงกับทำให้นักท่องเที่ยวบางคนขนานนามหมู่เกาะแห่งนี้ว่าเป็น  “มัลดีฟส์ (Maldives) แห่งเมืองไทย” เลยทีเดียว
 
 
 
                      
                        |  |  
                        | 
                          ...................................เรือน้อยลอยลำ ในลำคลอง...................................(ถ่ายภาพบริเวณ "ท่าเทียบเรือปากคลองพันเตมะละกา" ประตูสู่ "เกาะตะรุเตา")
 
 |  
 “ตะรุเตา”  เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า “ตะโละเตรา” ในภาษามลายูซึ่งมีความหมายว่า  “มีอ่าวมาก”   เกาะตะรุเตาและเกาะอื่นๆ ในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงรวมทั้งหมด 51  เกาะได้รับการประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 19  เมษายน พ.ศ. 2517 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 8  ของประเทศไทย ประกอบไปด้วยเกาะขนาดใหญ่ซึ่งมีความสำคัญและเป็นที่รู้จักอยู่หลายเกาะ  อาทิเช่น เกาะตะรุเตา , เกาะไข่ , เกาะอาดัง , เกาะราวี , เกาะหลีเป๊ะ เป็นต้น ในครั้งนี้ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอม  (www.thongteaw.com)  จะขออาสาพาท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านไปทำความรู้จักกับเกาะสำคัญๆ  แต่ละแห่งกันแบบเจาะลึก โดยเริ่มต้นจากข้อมูลประวัติความเป็นมารวมถึงข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นรอบๆ  “เกาะตะรุเตา” ก่อนเป็นลำดับแรก
 
 
 
 
 
                      
                        |  |  
                        | 
                          ท่าเทียบเรือ "ปากคลองพันเตมะละกา" ในวันฟ้าใส 
 |  
 
                      
                        |  |  
                        | 
                            ใครจะขึ้น "เกาะตะรุเตา" เขาก็ต้องมาที่นี่กันทั้งนั้นแหละ 
 |  
 
 คุกนรกเกาะตะรุเตา
 
 บริเวณ “หมู่เกาะตะรุเตา – ลังกาวี (หมู่เกาะลังกาวีอยู่ในเขตประเทศมาเลเซียครับ)”  เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะของเส้นทางเดินเรือข้ามมหาสมุทรมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 1  เมื่อชาวฮินดูพวกแรกได้อพยพจากประเทศอินเดียผ่านทางประเทศพม่าและประเทศไทยไปยังประเทศอินโดนีเซีย  ตามตำนานเก่าแก่ของชาวเรือเล่าขานกันว่า “เกาะตะรุเตา”  มีอาถรรพ์  ผู้ใดซึ่งหาญกล้าเดินทางเข้าไปภายในป่าทึบสีเขียวชอุ่มที่มีอยู่อย่างหนาแน่นบนเกาะแห่งนี้จะไม่มีโอกาสได้กลับออกมาอีก  และผู้ที่พักอาศัยอยู่ตามอ่าวต่างๆ ของเกาะตะรุเตาเป็นระยะเวลานานจะต้องตกเป็นเหยื่อของความหนาวเย็น  การจับไข้ อาการเพ้อ หรือแม้กระทั่งความตาย
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                              ดอกผักบุ้งทะเล , พระบรมราชานุสาวรีย์ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", ศาลเจ้าพ่อตะรุเตา และ เปลือกหอยบริเวณลานหน้าอาคารนิทรรศการฯ
 |  
                    
                      |  |  
                      | 
                          อาคารนิทรรศการ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา" อยู่ลึกเข้าไปจากชายหาดอ่าวพันเตมะละกาไม่เกิน 150 เมตร
 |  
      เนื่องจากเกาะตะรุเตาเป็นเกาะซึ่งตั้งอยู่กลางท้องทะเลลึกห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่  คลื่นลมในฤดูมรสุมรุนแรง อีกทั้งยังชุกชุมไปด้วยจระเข้และฉลาม เกาะแห่งนี้จึงได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาลไทยให้ใช้เป็นสถานที่กักกันนักโทษคดีอุกฉกรรจ์  รวมถึงนักโทษการเมืองต่างๆ โดยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม  พ.ศ. 2480 กลุ่มบุกเบิกของกรมราชทัณฑ์ได้ขึ้นสำรวจเกาะตะรุเตาบริเวณ “อ่าวตะโละอุดัง”  และ “อ่าวตะโละวาว”  เพื่อเตรียมการจัดทำเป็นทัณฑสถาน จวบจนกระทั่งเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2481  นักโทษรุ่นแรกจึงได้ถูกส่งมายังเกาะแห่งนี้
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                              สะพานท่าเทียบเรือ "อ่าวตะโละวาว เกาะตะรุเตา" เปิดให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ใช้เฉพาะในช่วงฤดูมรสุม
 |  
 
 นักโทษภายในทัณฑสถานเกาะตะรุเตาจะถูกกักกันแบ่งแยกออกเป็น  2 กลุ่ม ได้แก่ “กลุ่มนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ทั่วไป”  และ “กลุ่มนักโทษการเมือง”  โดยกลุ่มนักโทษคดีอุกฉรรจ์ทั่วไปจะถูกใช้งานอย่างหนักและได้รับการลงโทษอย่างรุนแรงหากกระทำผิดต่อข้อกำหนดต่างๆ  ของทัณฑสถาน ส่วนกลุ่มนักโทษการเมืองนั้นจะได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพมากกว่ากลุ่มนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ทั่วไป  เนื่องจากถือว่ากลุ่มนักโทษการเมืองเป็นกลุ่มนักโทษที่มีความรู้สูง
 
 
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                เรือนพักนักโทษ , รูปปั้นผู้คุม , เส้นทางเดิน และ ตึกแดง  |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ....................ผืนป่าอาถรรพ์....................
 |  
 
 การรักษาพยาบาลนักโทษที่เจ็บป่วยในทัณฑสถานเกาะตะรุเตานั้นไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย  แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่พยาบาลบางคนแสวงหาผลประโยชน์ขูดรีดเงินทองและทรัพย์สินจากนักโทษด้วยวิธีการต่างๆ  เช่น จะคัดชื่อออกจากโรงพยาบาลเพื่อให้ออกไปทำงานหนักหากผู้ป่วยไม่ยอมมอบทรัพย์สินให้ตามความต้องการ  , เปลี่ยนเสื้อผ้าดีๆ ของนักโทษที่ป่วยมาเป็นของตน  หรือในกรณีที่มีนักโทษเลี่ยมฟันทองเสียชีวิตก็จะถูกงัดปากและถอนฟันทองออกจนหมด  บางครั้งผู้ป่วยยังไม่ทันสิ้นใจก็แย่งกันช่วงชิงเสื้อผ้าหรืองัดเอาฟันทองกันจนผู้ป่วยต้องตายไป  นักโทษบางคนต้องการอยู่ในสภาพผู้ป่วยนานๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องออกไปทำงานหนักจึงไม่ยอมรักษาตนเองให้หาย  คนที่เป็นแผลก็จะพยายามทำให้แผลเปื่อยขยายออกไปอีก
 
 
 
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ประติมากรรมนักโทษหน้าโฉด กับ เรือนพักเจ้าหน้าที่ทัณฑสถานเกาะตะรุเตา  |  
 
      กลางปี  พ.ศ. 2486 เกิดไข้มาลาเรียระบาดอย่างรุนแรงภายในทัณฑสถานเกาะตะรุเตา เจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เนื่องจากขาดแคลนแพทย์และยารักษาโรค  ทำให้มีนักโทษตายจากไข้มาลาเรียไม่ต่ำกว่าวันละ 5 – 6 คน  ปลายปี พ.ศ. 2486 มีจำนวนนักโทษล้มตายสะสมจากไข้มาลาเรียกว่า  700 คน เจ้าหน้าที่จะห่อศพนักโทษที่เสียชีวิตด้วยผ้าหรือเสื่อแล้วนำไปฝังยังป่าช้าพร้อมแทงจำหน่ายออกจากทะเบียนนักโทษโดยไม่ได้แจ้งให้ญาติผู้เสียชีวิตรับรู้
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ตึกแดง , สะพานท่าเทียบเรือเก่า และ ซากรถเข็นวัสดุก่อสร้าง  |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ส่วนหนึ่งของความน่าพรั่นพรึงจากกาลก่อน |  
 
      สภาพแวดล้อมอันโหดร้ายทารุณและเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ  ซึ่งเกิดขึ้นภายในทัณฑสถานเกาะตะรุเตานี่เองที่ทำให้ทัณฑสถานแห่งนี้ได้รับสมญานามอีกอย่างหนึ่งว่า  “คุกนรกเกาะตะรุเตา”
 
 ดินแดนแห่งโจรสลัด
 
 จาก “สงครามมหาเอเชียบูรพา”  ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2484 – 2488 ทำให้การคมนาคมระหว่างเกาะตะรุเตาและแผ่นดินใหญ่ถูกตัดขาด  เกิดปัญหาขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคภายในทัณฑสถานอย่างรุนแรง จวบจนต้นปี พ.ศ. 2487  พัศดี , ผู้คุม และนักโทษจึงได้ร่วมมือกันเข้าปล้นสะดมเรือบรรทุกสินค้าที่แล่นผ่านไปมาระหว่างปีนัง  , ลังกาวี , กันตัง และพม่า เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เองที่ถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของตำนาน  “โจรสลัดเกาะตะรุเตา”
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                              ภายในอาคารนิทรรศการฯ อ่าวพันเตมะละกา จัดแสดงประวัติความเป็นมาภาพเขียน ภาพถ่าย และ บทบรรยายความรู้เกี่ยวต่าง ๆ เกี่ยวกับ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา"
 |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ...............รอยรำลึกถึงดินแดนแห่งโจรสลัด............... |  
 ในระยะแรกการปล้นสะดมของโจรสลัดเกาะตะรุเตาเป็นการปล้นที่ไม่ทำร้ายเจ้าทรัพย์  เพียงแต่บังคับให้เรือหยุด ใช้อาวุธข่มขู่ ต้อนลูกเรือมัดรวมกันในห้องใต้ท้องเรือ  บังคับกัปตันเรือให้ถือท้ายเรือมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่โจรสลัดต้องการ  แล้วจึงขนสินค้าซุกซ่อนไว้ตามเกาะเล็กเกาะน้อยต่างๆ จากนั้นจึงนำเรือไปปล่อยยังจุดที่สามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัย  ต่อมาภายหลังมีผู้เข้าร่วมกลุ่มโจรสลัดเกาะตะรุเตามากขึ้นทำให้การปล้นสะดมแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางและมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น  เจ้าทรัพย์ถูกฆ่า เรือถูกทำลายด้วยการเจาะให้จมหรือเผาทิ้ง สร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้ควบคุมเรือสินค้าที่จำเป็นต้องแล่นผ่านน่านน้ำรอบๆ  บริเวณเกาะตะรุเตาเป็นอย่างยิ่ง การปล้นสะดมของโจรสลัดเกาะตะรุเตาในระยะหลังนี้มีการเตรียมการออกปล้นอย่างเปิดเผยบนเกาะ  สินค้าที่ได้จากการปล้นมีการลำเลียงไปไว้ยังเรือนพัสดุของทัณฑสถาน  ในบางครั้งถึงกับนำเรือสินค้าที่ปล้นได้เข้ามาจอดเทียบท่าบริเวณสะพานขึ้นเกาะ ถือเป็นการกระทำอันอุกอาจปราศจากความหวั่นเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองอย่างยิ่ง
 
 
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                              น้ำทะเลที่ "เกาะตะรุเตา" แห่งนี้ก็ใสแทบไม่แพ้ที่ใดๆ ในประเทศไทยเลยนะ
 |  
 
 การปล้นสะดมของโจรสลัดเกาะตะรุเตาส่งผลกระทบต่อสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวปีนังอย่างหนัก  ทำให้ข้าวสารขาดแคลน สินค้าอื่นๆ มีราคาเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว จนมีการร้องเรียนให้รัฐบาลจัดเรือยนต์ลาดตระเวน  อนุญาตให้เรือสินค้าติดอาวุธ และขอสนับสนุนการจัดเรือยนต์เพื่อป้องกันเรือสินค้า  ต่อมาในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2489 ทางรัฐบาลไทยตัดสินใจยินยอมให้ทหารอังกฤษจำนวน  300 นาย ยกพลขึ้นบกที่ “อ่าวตะโละวาว”  เพื่อเข้าปราบปรามโจรสลัดบนเกาะตะรุเตาและสามารถดำเนินการได้สำเร็จ เป็นการปิดฉาก “ตำนานโจรสลัดแห่งเกาะตะรุเตา”  อันน่าพรั่นพรึงลงในท้ายที่สุด
 
 
 จากทัณฑสถาน.....สู่.....อุทยานแห่งชาติ
 
 ในปี พ.ศ. 2491  กรมราชทัณฑ์ได้ประกาศยกเลิกการดำเนินการของทัณฑสถานเกาะตะรุเตา  ส่งผลให้เกาะตะรุเตากลายเป็นเกาะร้าง เวลาต่อมามีประชาชนจากจังหวัดต่างๆ  เข้ามาจับจองพื้นที่ทำกินบนเกาะและมีการตัดไม้ทำลายป่ากันอย่างมาก ในวันที่ 19  เมษายน พ.ศ. 2517 จึงได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เกาะตะรุเตา  , เกาะอาดัง , เกาะราวี และเกาะเล็กๆ อื่นๆ  ในละแวกใกล้เคียงรวมถึงน่านน้ำโดยรอบบริเวณนี้เป็นเขต “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา”
 
 
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ..........อดีตอันโหดร้ายกลับกลายเป็นความงดงามเกินบรรยายในปัจจุบัน..........
 |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                อ่าวพันเตมะละกาที่ยาวไกลสุดสายตายามเพลากลางวัน
 |  
 
 ในปี  พ.ศ. 2525 อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาได้รับการยกย่องจาก “องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO : United Nations Educational Scientific and Cultural Organization)” ให้เป็นมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Parks and Reserves)
 มรดกแห่งท้องทะเลอันงดงาม
 
 อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาประกอบไปด้วยเกาะใหญ่น้อยมากถึง  51 เกาะ มีเนื้อที่รวมประมาณ 1,490 ตารางกิโลเมตร  สามารถจัดแบ่งออกเป็นหมู่เกาะใหญ่ๆ ได้ 3 หมู่เกาะ คือ “หมู่เกาะตะรุเตา” , “หมู่เกาะอาดัง – ราวี” และ "หมู่เกาะดง" โดยในบริเวณ "หมู่เกาะอาดัง –  ราวี" และ "หมู่เกาะดง" นั้นจะมีความใสของน้ำทะเลรวมถึงมีความสวยงามของแนวปะการังมากกว่า "หมู่เกาะตะรุเตา" นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนิยมที่จะเดินทางไปพักค้างแรมบน  “เกาะหลีเป๊ะ” หรือ “เกาะอาดัง”   แล้วเช่าเหมาเรือ –  ซื้อทัวร์ดำน้ำรอบๆ บริเวณหมู่เกาะในละแวกนั้นแทนที่จะเลือกพักค้างแรมบนเกาะตะรุเตา  (“เกาะหลีเป๊ะ” ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของหมู่เกาะอาดัง – ราวีครับ)
 
 
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ....................เมื่อสุริยาบอกลาผืนนภาลับลงสู่ห้วงมหาสมุทร....................(ถ่ายภาพบริเวณ "ปากคลองพันเตมะละกา" และ "หน้าอ่าวพันเตมะละกา" เวลาเย็น)
 |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                บรรยากาศ "เกาะตะรุเตา" ในแสงสุดท้ายของวันเก่า
 |  
 
 “เกาะตะรุเตา”  เป็นเกาะซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา มีเนื้อที่ประมาณ  152 ตารางกิโลเมตร ด้วยสาเหตุที่ตัวเกาะตะรุเตามีขนาดใหญ่ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวเลือกพักค้างแรมบนเกาะแห่งนี้เป็นจำนวนน้อย  จึงทำให้บรรยากาศโดยรวมของเกาะตะรุเตาค่อนข้างเงียบสงบและมีความเป็นส่วนตัวสูง นับได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลซึ่งเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลในเสน่ห์ของความวิเวกวังเวงเป็นอย่างยิ่ง
 
 โดยรอบบริเวณเกาะตะรุเตามีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจสำคัญๆ  หลากหลายแห่งดังต่อไปนี้
 
 1.อ่าวตะโละวาว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะตะรุเตา มีลักษณะเป็นหาดหินสลับกับป่าชายเลนไม่เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ  ด้านหน้าของอ่าวตะโละวาวมีสะพานท่าเทียบเรือซึ่งทอดยื่นยาวลงไปในท้องทะล  สุดปลายสะพานท่าเทียบเรือด้านทิศเหนือมีภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางผืนน้ำกว้าง  ทิวทัศน์ของสะพานท่าเทียบเรือและภูเขาหินปูนลูกนี้ถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของอ่าวตะโละวาว
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                "เกาะตะรุเตา" อดีตคุกนรก และ ดินแดนแห่งโจรสลัด |  
                          
                            |  |  
                            | 
                                มุมมองแบบกว้างไกลสุดสายตา ณ สะพานท่าเทียบเรืออ่าวตะโละวาว |  
      ในอดีตพื้นที่บริเวณอ่าวตะโละวาวเคยถูกใช้เป็นสถานกักกันนักโทษคดีอุกฉรรจ์ทั่วไป  แต่ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพื้นที่บริเวณดังกล่าวนี้ให้กลายเป็นเส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์  รวมทั้งยังเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาที่ ตต.1  (อ่าวตะโละวาว)  ด้วย
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                มาดูภาพถ่ายในมุมสูงๆ ของสะพานท่าเทียบเรือ "อ่าวตะโละวาว" กันบ้าง
 |  
 
 
 เส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์ตะโละวาวมีความยาวโดยประมาณ  1 – 2 กม. ใช้เวลาในการเดินเท้าไป –  กลับเฉลี่ย 1 – 2 ชม. (นับจากจุดตั้งต้นบริเวณสะพานท่าเทียบเรือ)  มีสถานที่น่าสนใจต่างๆ บนเส้นทางกลากหลายแห่ง เช่น ตึกแดง , สุสาน 700  ศพ , เรือนนอนนักโทษ , ฯลฯ  นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายังสะพานท่าเทียบเรืออ่าวตะโละวาวได้โดยการเหมารถของอุทยานฯ  มาจากที่ทำการกลางบริเวณ “อ่าวพันเตมะละกา”  (สะพานท่าเทียบเรือบริเวณอ่าวตะโละวาวไม่อนุญาตให้เรือนำเที่ยวเข้าเทียบท่า  แต่จะใช้เป็นจุดจอดเทียบเรือของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาในช่วงฤดูมรสุมเท่านั้น  กรณีที่นักท่องเที่ยวเลือกพักอยู่บริเวณอ่าวแห่งอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ “อ่าวพันเตมะละกา” สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของทางอุทยานฯ  ให้วิทยุเรียกรถมารับบริเวณอ่าวนั้นๆ ได้ครับ)
 
 
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ....................หอยตัวน้อยๆ หลากชนิด.................... |  
 
 2.อ่าวพันเตมะละกา เป็นที่ตั้งของที่ทำการกลางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ  ลักษณะหาดทรายสีขาวเนื้อเนียนละเอียดยาวประมาณ 1.5 กม.  มีต้นสน , หูกวาง และ เตยทะเลขึ้นยืนต้นตระหง่านอยู่ตลอดแนวชายหาด อ่าวพันเตมะละกามีความลาดเอียงของพื้นทรายใต้ทะเลต่ำทำให้สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างค่อนข้างปลอดภัย  น้ำทะเลด้านหน้าอ่าวเป็นสีฟ้าใสสวยงาม  ในยามเย็นหากคุณมีอารมณ์โรแมนติกมากพอก็อาจจะมานั่งรอชมพระอาทิตย์ลาลับหายไปจากเส้นขอบฟ้าด้านหน้าอ่าวพันเตมะละกาแห่งนี้ก็ได้
 
 
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ทิวทัศน์รอบๆ "อ่าวพันเตมะละกา เกาะตะรุเตา" อ.เมือง จ.สตูล  |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                กาลครั้งหนึ่ง ณ สถานที่ซึ่งฉันได้พบกับความสงบสุข  |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                หาดทราย ต้นไม้ กับ ลวดลายแห่งท้องทะเล |  
 “ผาโต๊ะบู”  เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกในช่วงเวลาเย็นอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีความสวยงามแปลกแตกต่างไปจากการนั่งชมพระอาทิตย์ตกบริเวณด้านหน้าอ่าวพันเตมะละกา  เนื่องจากผาโต๊ะบูเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 60  เมตร ณ จุดชมทิวทัศน์แห่งนี้นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นอ่าวพันเตมะละกาเบื้องล่างได้ตลอดแนวความยาวทั้งอ่าวรวมทั้งยังสามารถมองเห็น  “คลองพันเตมะละกา”  ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือได้อีกด้วย เส้นทางเดินขึ้นสู่ผาโต๊ะบูตั้งอยู่ด้านหลังที่ทำการกลางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา  ใช้เวลาในการเดินเท้าเพียงแค่ 15 – 20 นาทีก็สามารถขึ้นไปถึงศาลาชมทิวทัศน์บริเวณยอดผาได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยสักเท่าไหร่นัก
 
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ขึ้น "ผาโต๊ะบู" เพื่อมาดู "อ่าวพันเตมะละกา - คลองพันเตมะละกา" ในมุมกว้าง(ถ่ายภาพบนผาโต๊ะบูในยามเย็นขณะพระอาทิตย์ตกด้านหน้าอ่าวพันเตมะละกา)
 
 |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                เส้นทางสูงชัน..........ต้องเหน็ดเหนื่อยพอสมควรเหมือนกันกว่าจะมาถึง
 |  
 
 บริเวณ  “ปากคลองพันเตมะละกา”  เป็นที่ตั้งของท่าเทียบเรือนำเที่ยว นักท่องเที่ยวทุกๆ คนซึ่งต้องการจะพักค้างแรมบนเกาะตะรุเตาจะถูกส่งขึ้นฝั่ง  ณ ท่าเรือแห่งนี้ หากต้องการจะเช่าเหมาเรือไปดำน้ำตื้นรอบๆ เกาะตะรุเตา  หรือจะเช่าเรือคายักพายไปยัง “ถ้ำจระเข้ ”  ซึ่งตั้งอยู่สุดปลายคลองพันเตมะละกา ก็สามารถติดต่อได้ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของอุทยานฯ  บริเวณท่าเทียบเรือได้
 
 
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ....................ช่วงเวลาอันน่าหลงใหล....................
 |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                .........................อารมณ์เปลี่ยว.........................
 
 |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                เฝ้าสังเกตดวงอาทิตย์ตกจากหน้าปากคลองพันเตมะละกา กับ ยอดไม้บนผาโต๊ะบู |  
 
 จากข้อมูลที่ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอม  (www.thongteaw.com)  ได้ลองสอบถามกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ทำให้พวกเราได้ทราบว่า “ถ้ำจระเข้”  เป็นถ้ำซึ่งมีหินงอกหินย้อยสวยงาม ตั้งอยู่ห่างจากปากคลองพันเตมะละกาประมาณ 2  กม.  การเดินทางสู่ถ้ำจระเข้นั้นนอกเหนือจากการเช่าเรือคายักพายไปจอดยังทางเดินไม้บริเวณป่าโกงกางปากถ้ำแล้ว  ยังสามารถเช่าเหมาเรือหางยาวของทางอุทยานฯ ให้ไปรับ –  ส่งได้อีกด้วย น่าเสียดายที่ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมมีเวลาในการเก็บข้อมูลจำกัด  พวกเราจึงไม่ได้แวะเที่ยวถ้ำจระเข้แห่งนี้
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ....................ยามดวงอาทิตย์ใกล้ดับอับแสง.................... |  
                          
                            |  |  
                            | 
                                สนธยาฟากฟ้าสีทอง กับ ต้นเตยทะเลที่ดูหม่นหมองในเวลาเย็น |  
       หากเดินพ้นจากสะพานท่าเทียบเรือเข้าไปเล็กน้อยก็จะพบกับอาคารหกเหลี่ยมสีน้ำตาลแดงหลังเล็กๆ  ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของถนน อาคารหลังนี้คือ “ศาลเจ้าพ่อตะรุเตา”  นักท่องเที่ยวบางส่วนนิยมมากราบไหว้ขอพรให้ตนเอง เพื่อนพ้อง  และครอบครัวเดินทางท่องเที่ยวโดยสวัสดิภาพ  เมื่อเดินลึกเข้าไประหว่างทางจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตามุ่งหน้าสู่บริเวณเรือนพักนักท่องเที่ยวจะได้พบกับ  “อาคารแสดงนิทรรศการ”  ซึ่งมีการจัดแสดงภาพถ่าย ภาพวาด ซากสัตว์  ข้อมูลความรู้สภาพทางธรรมชาติโดยรวมของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา รวมถึงยังได้มีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ  ของนักโทษที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของทัณฑสถานเกาะตะรุเตาเอาไว้ด้วย  นักท่องเที่ยวซึ่งต้องการจะทำความรู้จักกับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาอย่างลึกซึ้งแนะนำว่าควรแวะมาเยี่ยมชมการจัดแสดงนิทรรศการภายในอาคารหลังนี้
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                "ศาลเจ้าพ่อตะรุเตา" กับ ลิงแสม |  
 
 “ลิงแสม”  เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปรอบๆ  บริเวณอ่าวพันเตมะละกา แต่ลิงแสมบนเกาะตะรุเตานี้เป็นลิงป่าที่มีนิสัยค่อนข้างดุร้าย  แนะนำว่านักท่องเที่ยวไม่ควรให้อาหารลิงอย่างเด็ดขาดและต้องใช้ความระมัดระวังในการพกพาอาหารเดินไปเดินมาระหว่างเรือนพักกับสถานที่แห่งอื่นๆ  เพราะอาจถูกลิงแย่งอาหารหรือกัดเอาได้
 
 
 
 
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                ความแตกต่างระหว่างห้วงเวลา ณ อ่าวพันเตมะละกา เกาะตะรุเตา |  
 
                          
                            |  |  
                            | 
                                สีสัน ตัด ขัดแย้ง...............แต่แฝงไว้ด้วยความงดงาม |  
 
 นอกจากลิงแสมแล้วในช่วงเวลาเช้าตรู่และช่วงเวลาเย็นมักจะพบเห็นฝูง  “นกเงือก” บินร่อนลงมาเดินหากินบริเวณรอบๆ  โรงอาหารของทางอุทยานฯ อยู่เสมอๆ
 
 
 
 
                          
                            | อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา    หน้า 1 2
 
 |  
 
 
 
 |